ข่าวสาร/สาระน่ารู้

News&Knowledge

ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ มีอะไรบ้าง พร้อมคู่มือแนะนำจากองค์การอนามัยโลก

8,559 view(s)
05/09/2019
รายละเอียด

 วิธีเลี้ยงลูก ในยุคโซเชียลครองเมือง เราจะเห็นคุณพ่อคุณแม่บางท่านใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ตลอดจนคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูก ภาพของเด็กหรือทารกดูมือถือ เล่นโทรศัพท์มือถือ กลายเป็นภาพที่คุ้นชินสายตา แต่รู้ไหมคะว่าการปล่อยให้ลูก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ อยู่กับหน้าจอมากเกินไปจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี ใครมีลูกอยู่ในวัยนี้ ป้องกันไว้ก็ยังไม่สาย ดังนั้นเรามาดูผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ในวัยก่อน 2 ขวบกันเลยดีกว่าค่ะ

ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ

1. ทักษะการพูดและการสื่อสารพัฒนาได้ช้า

          โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะเรียนรู้การพูดและภาษาจากคุณพ่อคุณแม่ หรือบุคคลรอบข้าง ด้วยการสังเกตรูปปากและเสียงที่เปล่งออกมา การเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออยู่กับหน้าจอนาน ๆ จึงเป็นการลดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแบบตัวต่อตัวของเด็ก

2. ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย

          เด็กในวัยนี้จำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อพัฒนาทักษะทางกาย ทั้งการเดิน วิ่ง ขยับมือ หยิบจับสิ่งของ การให้เด็กนั่งนิ่ง ๆ อยู่หน้าจอ อาจทำให้ไม่ได้พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ควร

3. ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

          เมื่อเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์ ลูกจะใจจดจ่ออยู่แต่กับโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ส่งผลให้มีพฤติกรรมแยกตัว ขาดการพูดคุย ไม่ปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้าง

4. สมาธิสั้น

การให้ลูกดูสื่อต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอโทรทัศน์มากเกินไป ลูกจะเห็นภาพและเสียงผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียสมาธิได้ เพราะไม่สามารถจดจ่อกับการดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วง อีกทั้งเสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ ก็รบกวนสมาธิของเด็กเช่นกัน

5. จอประสาทตาถูกทำลาย

          เด็กในวัยนี้ ตาและระบบการมองเห็นยังอ่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ควรมองแสงที่สว่างมากเกินไป ซึ่งแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือสามารถทำลายจอประสาทตาของเด็ก จนนำไปสู่โรคทางสายตา หรือจอประสาทตาเสื่อมได้

6. รบกวนการนอนหลับ

          การให้ลูกเล่นหรือดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนนอน แสงจากหน้าจอที่สว่าง ๆ จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ที่ช่วยควบคุมการนอนหลับ เนื่องจากการปล่อยฮอร์โมนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแสงสว่างเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นปัญหาต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้เด็กนอนฝันร้าย หรือนอนไม่หลับ ซึ่งมีผลทำลายการทำงานของเซลล์ประสาท ส่งผลระยะยาวไปถึงตอนโตได้

7. ปวดเมื่อยคอ

          ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เด็กก้มมองจอโทรศัพท์ มักจะก้มคอราว 60 องศา ซึ่งเป็นท่าที่ไม่เหมาะสม เพราะจะส่งให้เกิดอาการปวดคอได้หากก้มเป็นเวลานาน ๆ

8. ปวดหัว ปวดตา

          การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน จะส่งให้ได้รับรังสีจากคลื่นโทรศัพท์ที่แผ่ออกมามากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งรังสีดังกล่าวอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมา นั่นคือปวดศีรษะ ปวดตา หรือบางรายก็อาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่านั้น

9. พฤติกรรมก้าวร้าว

          หากเด็ก ๆ เล่นโทรศัพท์มือถือจนติด หรือพ่อแม่ใช้โทรศัพท์เป็นสิ่งหลอกล่อให้เด็กทำตามคำสั่ง ผลเสียที่ตามมาก็คือเมื่อเด็กไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาที่ต้องการ มักจะเกิดอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว เพราะไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กที่ติดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ

10.  จินตนาการหดหาย

          จินตนาการในวัยเด็กเป็นของขวัญที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่ง แต่การปล่อยให้เด็กเรียนรู้ผ่านรายการในโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ซึ่งมักจะบอกแนวความคิดว่าเด็กต้องทำอย่างไร คิดอย่างไร ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ทำให้เกิดการจำกัดจินตนาการของเด็ก ๆ ได้

คำแนะนำ เด็กเล็กอยู่หน้าจอได้นานแค่ไหน

          ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดคู่มือแนะนำใหม่ขึ้นสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง ในการควบคุมเวลาหน้าจอสำหรับเด็กเป็นครั้งแรก โดยระบุว่า

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ขวบที่ยังเดินไม่ได้

          - ควรมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งรวมถึงการนอนคว่ำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน

          - ไม่ควรอยู่ในรถเข็น หรือผูกติดบนหลังใครนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง

          - ควรนอนหลับให้ได้ 12-17 ชั่วโมงต่อวัน

          - ไม่ควรอยู่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลย

เด็กอายุ 1-2 ขวบ

          - ควรมีกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง

          - ควรนอนหลับอย่างน้อย 11-14 ชั่วโมง

          - ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง

เด็กอายุ 3-4 ขวบ

          - ควรทำกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวปานกลางถึงแข็งแรงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

          - ควรนอนหลับพักผ่อน 10-13 ชั่วโมง

          - ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง

เด็กเล็กสามารถคุย Video Chat กับเราได้ไหม

          นอกจากนี้ สถาบันกุมารศาสตร์แห่งสหรัฐฯ (The American Academy of Pediatrics) ก็ไม่ส่งเสริมให้มีการใช้สื่อหน้าจอในเด็กเช่นเดียวกันค่ะ ยกเว้นการคุยกันผ่านวิดีโอ (Video chat) สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 1 ขวบครึ่ง - 2 ขวบ สามารถทำได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับคนในครอบครัว ส่วนเด็กอายุระหว่าง 2-5 ขวบนั้น ควรรับชมรายการที่มีคุณภาพเป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน

          ทั้งนี้ ในการให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอ คุณพ่อและคุณแม่ควรจะสกรีนเนื้อหาของรายการที่ลูกดูก่อนทุกครั้ง และควรดูไปพร้อมกับลูก ๆ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ มอบความรักความอบอุ่นแก่ลูกค่ะ

          แต่ทางที่ดี Dr.Juana Willumsen ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก แนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ปกครองควรนำการเล่นที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ๆ กลับมา ไม่ว่าจะเป็นการได้เคลื่อนไหวร่างกาย การวิ่งเล่น การร้องเพลง การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การต่อจิ๊กซอว์ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากเวลาที่เด็กอยู่กับที่ไปเป็นเวลาเล่น ซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ ได้ออกกำลังกายและเสี่ยงต่อโรคอ้วนน้อยลงด้วยนั่นเองค่ะ

ข้อมูลจาก : องค์การอนามัยโลก, evoke.ie, healthychildren.org, awomanlessordinary.com

 

Amwish live chat
Uploading...